รศ.นพ.วิชญ์ บรรณหิรัญ
American Board of Sleep Medicine
Certified international sleep specialist
นอนกรนและโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) เป็นภาวะที่เกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจในขณะหลับ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจนและทำให้คุณภาพการนอนหลับลดลง ง่วงมากผิดปกติ หรือเป็นโรคหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ดังนั้นเพื่อวางแผนการรักษาให้ได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เราควรหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุด
การส่องกล้องตรวจขณะหลับโดยการใช้ยา (Drug Induced Sleep Endoscopy: DISE) เป็นการตรวจวินิจฉัยที่ใช้ในการตรวจหาสาเหตุของปัญหาการนอนกรนหรือ OSA ที่ทำโดยโสต ศอ นาสิกแพทย์ด้านการนอนหลับ โดยการตรวจนี้จะช่วยให้เห็นว่ามีสิ่งใดที่อุดกั้นทางเดินหายใจขณะผู้ป่วยหลับและทำให้มีเสียงกรน ปัจจุบันนิยมทำ DISE ให้ห้องผ่าตัดที่มีวิสัญญีแพทย์ร่วมดูแล
ขั้นตอนของการตรวจ DISE
1. ให้ยาสลบขนาดน้อยทางหลอดเลือด: แพทย์จะให้ยาสลบที่ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าสู่การนอนหลับแบบธรรมชาติ ทำให้การตรวจมีความใกล้เคียงกับการนอนหลับตามปกติ
2. ส่องกล้อง: แพทย์จะใช้กล้องเล็กๆ (คล้ายกล้องที่ใช้ตรวจโพรงจมูก) ใส่ผ่านจมูกเพื่อดูภายในทางเดินหายใจตั้งแต่จมูกจนถึงหลอดลม
3. ตรวจหาตำแหน่งอุดกั้น: ขณะผู้ป่วยหลับ แพทย์จะสังเกตว่ามีบริเวณใดของทางเดินหายใจที่เกิดการอุดกั้น ซึ่งอาจเป็นจากเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อย หรืออาจมีโครงสร้างอื่นๆ ที่ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
ประโยชน์ของการส่องกล้องตรวจขณะหลับโดยการใช้ยา (DISE)
การตรวจ DISE ช่วยให้แพทย์สามารถระบุได้ว่าบริเวณใดของทางเดินหายใจที่มีการอุดกั้น และสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนการรักษา เช่น การผ่าตัด (sleep surgery), การใช้เครื่องกระตุ้นทางเดินหายใจส่วนบน (upper airway stimulation: UAS), และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ เพื่อให้ได้ผลการรักษามีประสิทธิภาพดีที่สุด นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในการประเมินผลของการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ได้
DISE เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจวินิจฉัยและรักษา OSA ที่ปลอดภัยและใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน ด้วยความสามารถในการสังเกตและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะหลับ การตรวจนี้สามารถช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและตรงจุด เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการรักษาภาวะ OSA อย่างเหมาะสม
หากท่านมีอาการหยุดหายใจขณะหลับ หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีภาวะ OSA ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำและการตรวจที่เหมาะสมต่อไป